หลังจากที่ Apple ได้เปิดตัวอุปกรณ์ไปเยอะพอสมควรเลยทีเดียว สำหรับงาน Spacial Event เมื่อคืนวันที่ 24 ตุลาคม ก็มีหลายๆอย่างที่ถูกเปิดตัวไป ดังนี้
– MacBook Pro with Retina Display 13″
– New Mac Mini
– iPad 4th Generation
– iMac 8th Generation
– iPad Mini 7.9″
และได้เปิดตัว iBook Application ตัวใหม่ออกมาด้วย ซึ่งเราจะมาวิเคราะห์ที่ละประเด็นกันเลยนะครับ
MacBook Pro with Retina Display 13
แน่นอนข่าวนี้หลุดออกมาได้สักพักแหละครับ แน่นอนว่าทุกอย่างเกือบเหมือนรุ่น 15 นิ้ว แค่ตัดลำโพงออก ลดขนาดจอลง ใช้ Chip การ์ดจอ HD4000 แต่ผมสงสัยว่า “ทำไมไม่เปิดตัวไปพร้อมรุ่น 15 นิ้วไปเลย จะกั๊กไว้ทำไม” เพราะว่าคนที่อยากได้ Retina Display แต่ไม่อยากใช้งานจอใหญ่ๆ แล้วก็งบประมาณไม่เยอะพอ จะได้สู้กับราคาได้บ้าง อีกอย่างที่ทำให้ Retina Display 13 นิ้ว ไม่แน่สนใจเอาซะเลยคือ “ชิปประมวลผลจอ ใช้ Intel HD4000” ทำไมไม่เอาการ์ด Nvidia มาใช้เหมือนรุ่น 15 นิ้ว (หรือว่ามันจะเป็นข้อผลักดันให้ไปซื้อรุ่น 15 นิ้วหว่า) ซึ่งหลายๆคนก็คงรู้ ว่า Intel HD4000 เป็นอะไรที่ไม่คุ้มราคาเอาซะเลย แถมยังต้องประมวลผลความละเอียดบนจอภาพ ที่ละเอียดกว่าเดิมเยอะมากๆ มันจะไหวหรอ? แล้วจะทำอะไรเกี่ยวกับกราฟิกได้เยอะหรอ? ก็ยังเป็นคำถามอยู่จนตอนนี้
ส่วนนอกนั้น ก็ไม่เป็นประเด็นสักเท่าไหร่ เพราะมันสมเหตุสมผลของมันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเอา Optical Drive ออก การเปลี่ยนช่อง Lan เป็น Tunderbolt แทน 2 ช่อง มันก็ยังมีหัวแปลงได้ ไม่มีปัญหาสำหรับคนอยากใช้งาน USB 3.0 เป็นมาตรฐานใหม่อยู่แล้ว ไม่มีอะไรมากครับ
New Mac Mini
อันนี้ไม่ค่อยเป็นประเด็นสักเท่าไหร่ เพราะว่ามันเป็นอัพเดตที่สมเหตุสมผล เพราะว่า ด้วยตัวเองนั้นมีราคาเริ่มต้นถูกอยู่แล้ว จึงไม่เป็นปัญหาสักเท่าไหร่ในการอัพเกรดเครื่องเป็นรุ่นใหม่ แถม มันไม่ได้ออกถี่มาก นานๆจะออกมาอัพเกรดที จึงเหมาะสำหรับใครที่อยากได้มาประดับที่บ้าน ส่วนความคุ้มค่าแล้ว มันเหมาะกับการทำ Server ซะมากกว่า เพราะว่าถ้าจะเอามาใช้งานจริงๆ ต้องใช้จอเฉพาะของมันอีก ไม่งั้นจะแสดงสีเพี้ยน ยังไงสำหรับคนที่ชอบ หรือมีตัวเก่าอยู่แล้ว ถ้ามีงบก็อัพเกรดได้ครับ ไม่มีปัญหา
iPad 4th Generation
นี่คือประเด็ดที่คนแค้นกันอยู่ตอนนี้เลยครับ iPad 4 Generation หรือ iPad with Retina Display บอกตรงๆ มันเป็นอุปกรณ์ที่ออกมาบ่อย และถี่มาก (ในงานบอกว่า มันเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของเรา เอิ่ม = =”) ที่จริงแล้ว ข่าวที่หลุดออกไป เป็นแค่บอกว่า The New iPad เปลี่ยนเป็นแบบ Lightining แต่ที่จริงแล้ว เป็นการเปิดตัวอุปกรณ์ตัวใหม่ออกมาเลย บอกตรงๆว่า คนที่เพิ่งซื้อ The New iPad โครตเจ็บปวด รวดร้าวเลยหล่ะ ที่จริงแล้ว Apple น่าจะเว้นออกไป เป็นสักต้นปีหน้าก็ได้ที่จะเปิดตัว iPad ตัวนี้ เพราะว่า Product ตระกูล Tablet ของคุณ ออกมาบ่อยเกิน จนผู้ใช้งานเบื่อหน่ายแล้ว แถมการอัพเกรดครั้งนี้ ไม่ได้มากมายอะไรจากรุ่นที่แล้ว ก็แค่
– CPU A6X = CPU ตัวที่ใช้ใน iPhone 5 แต่มีการเพิ่มส่วนของกราฟิกลงไปด้วย
– Lightining Port = เปลี่ยนสายเคเบิล จาก 30 pin เป็น 8 pin เหมือน iPhone 5
ส่วนในเรื่องของ Ram และการเจาะลึก CPU คงต้องรอให้เครื่องนั้นขายออกมาก่อน แล้วถึงจะได้ข้อสรุปอีกครั้ง นี่ก็เป็นอีก 1 อุปกรณ์ ที่ทำให้หลายๆคน หงายหลังกันไปเลยทีเดียวเชียว
iPad Mini 7.9
นี่คืออุปกรณ์ที่หลายๆคนรอคอยครับ iPad Mini บอกตรงๆว่าเป็นอุปกรณ์ที่เข้าท่าอยู่เหมือนกัน มันจับพอดีมือ (พอๆ กับ Tab 7.7 มั่ง) และมีรุ่น LTE ให้ใช้งานด้วย แถมราคาที่ออกมานั้น ไม่แพงมาก (รุ่น Wifi 16 Gb พอๆกับ iPod Touch Gen 5 รุ่น 64 Gb. เลย) มันจึงทำให้เกิดโจทย์สำหรับคนที่อยากจะซื้อ iPod Touch 5 ตั้งแต่ตอนแรก ว่าจะซื้ออะไรดี เพราะว่า
– CPU ของ iPad Mini ใช้ตัวเดียวกับ iPod5 คือ A5
– สนับสนุน LTE เหมือน The New iPad (สำหรับรุ่น LTE นะ)
– ราคานั้น ไล่ๆกับ iPod รุ่น Top เลย
– ใช้ Port Lightining นะครับ
เลยต้องกลับมานั่งคิดว่า เราจะใช้งานอุปกรณ์ตัวไหนได้มาก และคุ้มค่ากว่ากัน เช่น นักเรียน นักศึกษา (อย่างผม) ถ้าซื้อ iPod มา มันก็ได้แค่เอามานั่งฟังเพลง เล่นเกมส์ จะอ่านเอกสารใน LMS ก็ได้อยู่ แต่จอมันเล็กมากๆ แต่ถ้าซื้อ iPad Mini หละ ถึงจอจะไม่ใหญ่เท่า iPad แต่ก็เพียงพอต่อการเขียน – อ่านเอกสาร ถึงความจุจะได้น้อยกว่า แต่ก็น้อยกว่าไม่เท่าไหร่ (เทียบกับรุ่น 16 gb ของ iPad Mini และ 32 gb ของ iPod ราคาแตกต่างกันไม่มาก) แต่ความคุ้มค่าที่จะได้กลับมานี่สิ เยอะพอดูเหมือนกัน
iMac 8th Generation
อุปกรณ์ตัวนี้ สำหรับนักออกแบบกราฟิก อยากจะบอกว่า มันคุ้มครับที่จะอัพเกรด เพราะว่าอุปกรณ์ตัวนี้ ไม่ได้อัพเกรดสเป็กมานานพอสมควรแล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ดูดีมากครับ แต่ก็ตัดเอาส่วนประกอบบางอย่างออกเหมือนกัน และก็ใส่เทคโนโลยีที่น่าสนใจเอาไว้หลายตัวอยู่เหมือนกัน นั่นคือ
– USB 3.0 ที่ให้มากถึง 4 port
– Thunderbolt 3 port
– Fusion Drive (เป็นการผสมผสานเทคโนโลยี โดยการนำ SSD และ HDD มาทำงานร่วมกัน โดยมีการแบ่งทรัพยากรกัน โดยที่ระบบปฏิบัติการหลัก และ โปรแกรม (Mainframe) จะอยู่ใน SSD ส่วนข้อมูลต่างๆ จะอยู่ใน HDD และจะทำงานอัตโนมัติด้วยระบบปฏิบัติการ Mountain Lion)
– SSD อัพได้สูงสุด 768gb , HDD ได้ 3TB
– BlueTooth 4 , Wifi 802.11n
เห็นได้ว่า อุปกรณ์ตัวนี้ได้รับการพัฒนาได้อย่างน่าสนใจ และเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าไปเยอะอยู่เหมือนกัน
สุดท้ายนี้ จะคุ้ม หรือไม่คุ้ม มันอยู่ที่ตัวของท่าน ว่าท่านซื้อไปทำอะไร ซื้อแล้วได้อะไร ซื้อแล้วมันทำอะไรให้เรากลับมาบ้าง นี่แหละครับ จึงเรียกว่า “ความคุ้มค่า”